งานบริการประกอบด้วย

1. งานทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม (Pile Integrity Test)

เป็นการทดสอบเพื่อประเมินสภาพความสมบูรณ์ของเสาเข็ม เพื่อทำให้ทราบถึงสภาพความสมบูรณ์ของโครงสร้างเสาเข็ม เนื่องจากเสาเข็มที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เกินกว่าเกณฑ์ที่ใช้ในการยอมรับ อาจส่งผลต่อความสามารถในการรับน้ำหนักไปด้วย การทดสอบดังกล่าวมีทั้งการทดสอบที่ใช้คลื่นความเค้น(Stress Wave) ในการทดสอบ ได้แก่ Low Strain Integrity Test (Seismic Test), Side Echo Test และ Single Shock End Test และการทดสอบที่ใช้คลื่นเสียง (Ultra Sonic Pulse) ในการตรวจสอบ ได้แก่ Cross Hole Sonic Logging Test


2. งานทดสอบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม (Pile Capacity Test)

การทดสอบกำลังรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม เป็นการทดสอบเพื่อยืนยันว่าเสาเข็มที่ถูกออกแบบมาและก่อสร้างแล้วสามารถรับน้ำหนักบรรทุกโดยมีค่าสัดส่วนความปลอดภัยได้ตามที่ออกแบบไว้ โดยทั่วไปการทดสอบกำลังรับน้ำหนักบรรทุกแบ่งออกได้สองประเภทหลักๆได้แก่ การทดสอบแบบสถิตยศาสตร์ เช่น Static Pile Load Test และ Bi-Direction Test และ การทดสอบแบบพลศาสตร์ เช่น High Strain Dynamic Pile Load Test


3. การตรวจสอบความลาดเอียงหลุมเจาะ (Drill Hole Monitoring Test)
ในการก่อสร้างเสาเข็มเจาะ ความลาดเอียงของหลุมเจาะที่เจาะไว้ก่อนทำการเทคอนกรีตเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เนื่องจากหากหลุมเจาะที่เจาะไว้มีความลาดเอียงในช่วงความลึกเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อาจส่งผลต่อความสามารถในการรับแรงกระทำของเสาเข็มที่หน้าตัดใดๆ วิธีตรวจสอบสภาพความสมบูรณ์ของผนังหลุมเจาะ ว่ามีการเบี่ยงเบนออกจากแนวศูนย์กลาง มีการพังทลายของหลุมเจาะหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Drill Hole Monitoring ก่อนการเทคอนกรีต

4. การทดสอบประเมินความยาวของเสาเข็มหรือโครงสร้างใต้ดิน (Parallel Seismic Test)

การทดสอบแบบ Parallel Seismic เป็นวิธีการทดสอบเพื่อประเมินหาความยาวของเสาเข็มหรือโครงสร้างใต้ดิน โดยทั่วไปนิยมใช้ประเมินความยาวเสาเข็มหรือโครงสร้างใต้ดินเดิม ที่ไม่สามารถสืบค้นหาข้อมูลเก่าได้ เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์หรือออกแบบประมวลผลต่อไป

 


 

1. งานทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม (Pile Integrity Test)

  • Low Strain Integrity Test (Seismic Test)
  • Side Echo Test
  • Single Shock End Test
  • Cross Hole Sonic Logging Test
 

Low Strain Integrity Test (Seismic Test)

การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มด้วยวิธีการส่งคลื่นความเค้น (Stress Wave) ผ่านลงไปในตัวเสาเข็มแล้วบันทึกสัญญาณสะท้อนกลับนำมาวิเคราะห์แปรผล โดยทั่วไปเรียกว่า Seismic Integrity Testing หรือ Sonic Integrity Testing หรืออาจเรียกว่า Low-Strain Integrity Testing การทดสอบดังกล่าวนี้เป็นไปตามมาตรฐาน ASTM D-5882: Standard Test Method for Low Strain Integrity Testing of Piles นอกจากนี้ส่วนงานดังกล่าวยังได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO9001:2015 ซึ่งเป็นบริษัททดสอบเสาเข็มรายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองในส่วนนี้

การทดสอบด้วยวิธีการดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการทดสอบที่สะดวกและรวดเร็วเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิธีการทดสอบแบบอื่น ๆ หากมีการเตรียมการที่ดีอาจสามารถทดสอบได้มากกว่า 100 ต้นต่อวัน สามารถใช้ได้ทั้งเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง, เสาเข็มเจาะหล่อในที่และเสาเข็มเหล็กแบบต่าง ๆเสาเข็มทดสอบจะถูกตอกด้วยค้อนทดสอบ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดคลื่นความเค้นอัด (Compression Wave) วิ่งผ่านลงไปในตัวเสาเข็มหากเกิดความไม่ต่อเนื่องขึ้นในหน้าตัดของเสาเข็ม เกิดรอยแตกร้าวหรือคอนกรีตสภาพไม่ดี หรือพบปลายเสาเข็มคลื่นสัญญาณดังกล่าวจะเกิดการสะท้อนกลับและถูกบันทึกไว้โดยละเอียดและแปลงสัญญาณให้อยู่ในรูปของความเร็ว (Velocity) กับเวลา (Time) เพื่อนำมาแปรผลต่อไป


                                                                                                   
 

Side Echo Test
การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มทางด้านข้าง (Side Echo Test) เป็นการทดสอบที่พัฒนามาจากการทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม ด้วยวิธี Seismic Integrity Test ทั่วไป เพื่อให้สามารถทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มในกรณีที่ไม่สามารถติดหัววัดสัญญาณที่หัวเสาเข็มได้ เช่นกรณีที่มีโครงสร้างด้านบนอยู่เหนือหัวเสาเข็มทดสอบแล้ว เพื่อทดสอบประเมินความสมบูรณ์ของเสาเข็ม รวมไปถึงสามารถประเมินความยาวเสาเข็มได้ (ในกรณีที่พบสัญญาณสะท้อนกลับที่ปลายเข็มอย่างชัดเจน)

     


Single Shock End Test

การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มโดยวิธี Single Shock End Test เป็นการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D-5882: Standard Test Method for Low Strain Integrity Testing of Piles เช่นเดียวกับการทดสอบ Low Strain Integrity Test (Seismic Test) แต่จะปรับเปลี่ยนเครื่องมือทดสอบให้สามารถตรวจสอบคุณภาพของคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดและอาจไม่ตรวจสอบคุณภาพคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบได้แน่ชัดด้วยวิธีการ Low Strain Integrity Test (Seismic Test) การทดสอบดังกล่าวนี้ใช้ค้อนทดสอบเป็นแบบ Instrumented Hammer สามารถตรวจวัดแรงกระทำ และนำมาเปรียบเทียบกับคลื่นสัญญาณความเร็วที่ได้จากหัววัดสัญญาณคลื่นความเร่ง (Accelerometer) เพื่อนำมาประเมินผลสภาพของคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบ


.           


Cross Hole Sonic Logging Test

การทดสอบความสมบูรณ์ของโครงสร้างเสาเข็มด้วยวิธี Cross Hole Sonic Logging เป็นการทดสอบความสมบูรณ์ของเนื้อคอนกรีตตามมาตรฐาน ASTM D-6760 โดยการส่งผ่านคลื่นเสียง (Ultra Sonic Pulse) จากหัวส่งสัญญาณไปยังหัวรับสัญญาณ โดยที่ระยะเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางผ่านเนื้อคอนกรีตที่มีคุณสมบัติคงที่จะมีค่าเท่ากันตลอดช่วงความยาวเข็ม แต่ในกรณีที่ช่วงใดช่วงหนึ่งมีสภาพเนื้อคอนกรีตเปลี่ยนแปลงไป ระยะเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางจากหัวส่งสัญญาณไปยังตัวรับสัญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากความเร็วคลื่นที่ใช้ในการเคลื่อนที่มีการเปลี่ยนแปลง การทดสอบด้วยวิธีดังกล่าวนี้เป็นวิธีการทดสอบที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีการทดสอบที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำการทดสอบได้โดยตลอดทั้งต้น การทดสอบด้วยวิธีดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทั้งในโครงสร้างเสาเข็มเจาะ, Caisson, เสาเข็ม Barrette และโครงสร้างกำแพงกันดิน (Diaphragm Wall) ซึ่งโครงสร้างในลักษณะดังกล่าวนี้สาเหตุสภาพไม่สมบูรณ์ที่อาจเกิดขึ้นพอจะสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้

  • ความเป็นโพรงของเนื้อคอนกรีต เนื่องจากการจี้ (Vibration) ไม่เพียงพอในขณะเทคอนกรีต
  • การแยกตัวที่เกิดจากการจี้ (Vibration) ที่มากเกินไป ระหว่างส่วนผสมในคอนกรีต
  • การชะล้างของปูนซีเมนต์ที่เกิดจากการที่น้ำใต้ดินไหลผ่าน
  • รอยแตกร้าวที่เกิดจากการหดตัวของเนื้อคอนกรีต
  • สิ่งแปลมปลอมที่ผสมอยู่ในเนื้อคอนกรีต
  • รอยคอดหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเสาเข็มที่เกิดจากการพังทลายของดินรอบข้างใน   

       ระหว่างที่ทำการถอนปลอดเหล็กกันดินพังทลาย (Casing) ท่อทดสอบ (Sonic Access Tube) จะถูกทำการติดตั้งพร้อมกับโครงเหล็กเสริมก่อนทำการเทคอนกรีตโดยทั่วไปที่ใช้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50.00 มิลลิเมตร โดยจะทำการผูกยึดติดกับโครงเหล็กเสริม (Rebar Cage) เพื่อให้มั่นใจว่าท่อดังกล่าวจะอยู่ในแนวดิ่ง ชนิดของท่อที่ใช้สามารถใช้ได้ทั้งท่อ PVC และท่อเหล็ก แต่ท่อเหล็กจะได้เปรียบกว่าในแง่ของการยึดเหนียวกับคอนกรีต (Bonding) โดยทั่วไปการทดสอบสามารถเริ่มได้หลังจากเทคอนกรีตไว้ประมาณ 7-21 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าตัดและความลึกของเสาเข็มหรือโครงสร้างทดสอบ

     

     



2. งานทดสอบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม (Pile Capacity Test)

  • Static Pile Load Test
  • High Strain Dynamic Pile Load Test
  • Bi-Direction Test


Static Pile Load Test
การทดสอบกำลังรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็มแบบสถิตยศาสตร์มีวิวัฒนาการมาโดยตลอด เริ่มจากการทดสอบโดยการจัดวางน้ำหนักบรรทุก(Dead Weight) โดยตรงบนหัวเสาเข็ม ต่อมาจึงมีการพัฒนาเอาระบบแม่แรงไฮดรอลิกมาใช้ในการควบคุมการเพิ่มน้ำหนักบรรทุกทดสอบ และวัดการทรุดตัวหรือเคลื่อนตัวของเสาเข็มทดสอบด้วยมาตรวัดการเคลื่อนตัวทั้งที่เป็นแบบ Dial Gauge หรือ แบบมาตรวัดไฟฟ้า เช่น LVDT เป็นต้น การทดสอบดังกล่าวนี้ถูกรองรับเป็นไปตามมาตรฐานการทดสอบของ ASTM D-1143 ในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีการคิดค้นวิธีการทดสอบกำลังรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็มแบบใหม่ๆ ซึ่งสามารถดำเนินการทดสอบได้สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิมมาก เช่น Dynamic Pile Load Test, Statnamic Pile Load Test, Osterberg Cell หรือ Bi-Direction Test ก็ตาม แต่การทดสอบทางตรงโดยวิธีการทดสอบแบบ Static Pile Load Test ยังถือเป็นการทดสอบมาตราฐานสำหรับการอ้างอิง และมีความเที่ยงตรงและแม่นยำกว่าการทดสอบแบบอื่นๆเนื่องจากเป็นการให้น้ำหนักกระทำและวัดการทรุดตัวหรือการเคลื่อนตัวที่เกิดขึ้นจริง และยังคงเป็นที่นิยมในการทดสอบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้การทดสอบ Static Load Test ในเสาเข็มยังสามารถทำการติดตั้งเครื่องมือวัดเพิ่มเติมเช่น Strain Gauge, Fiber Optic และ Extensometer ลงในเสาเข็มทดสอบ และทำการตรวจวัดค่าต่างๆในขณะทำการทดสอบ เพื่อนำมาประเมินหาหน่วยแรงระหว่างเสาเข็มกับมวลดินรอบข้าง เพื่อนำไปสู่การได้ค่าพารามิเตอร์ตามสภาพหน้างานจริงที่สามารถนำไปออกแบบเสาเข็มให้ประหยัดและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และน้ำหนักบรรทุกที่ต้องการโดยยังคงมีค่าสัดส่วนความปลอดภัยเป็นไปตามที่กำหนด

       

       

        


High Strain Dynamic Pile Load Test

ในปัจจุบันการทดสอบกำลังรับน้ำหนักเสาเข็มแบบพลศาสตร์ หรือ Dynamic Load Test (DLT) ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ลักษณะการทดสอบจะใช้ตุ้มน้ำหนักปล่อยกระแทกที่หัวเสาเข็มให้เสาเข็มเกิดการเคลื่อนตัวแรงกระแทกจากตุ้มน้ำหนัก จะทำให้เกิดคลื่นความเค้นอัดเคลื่อนที่ลงในเสาเข็ม ด้วยความเร็วคลื่นที่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเสาเข็ม โดยคลื่นความเค้นดังกล่าวจะสะท้อนกลับเมื่อแรงต้านทานจากแรงเสียดทาน, แรงต้านที่ปลายเข็ม, คุณสมบัติของเสาเข็มและพื้นที่หน้าตัดเกิดการเปลี่ยนแปลง คลื่นความเค้นที่เกิดขึ้นในระหว่างการทดสอบจะถูกบันทึกโดย Strain transducers และ Accelerometers ที่ถูกติดตั้งบริเวณหัวเสาเข็ม สัญญาณจากการทดสอบจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปของแรงและความเร็ว เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์หากำลังรับน้ำหนักทางสถิตศาสตร์ (แรงเสียดทานผิวและแรงต้านทานปลายเข็ม) ด้วยโปรแกรม CAPWAP (Case Pile Wave Analysis Program) การทดสอบแบบพลศาสตร์ เป็นที่ยอมรับทั่วไปและมีมาตรฐานรองรับคือ ASTM D 4945

สำหรับเสาเข็มตอกการทดสอบดังกล่าวนี้สามารถทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ Initial Driving Test และ Restrike Test Initial Driving Test เป็นการทดสอบขณะที่ทำการตอกเสาเข็ม หน่วยแรงเค้นสูงสุด (แรงอัดและแรงดึง), Blow Count สภาพความสมบูรณ์ของเสาเข็ม ความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาเข็มด้วยวิธี Case Method สามารถตรวจสอบและบันทึกได้ในแต่ละครั้งของการตอกเข็ม การทดสอบแบบนี้จะทำให้ทราบข้อมูลต่างๆ ได้อย่างชัดเจน รวมถึงป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเสาเข็มในระหว่างการตอก ทำให้สามารถควบคุมงานตอกเสาเข็มให้ได้ตามข้อกำหนด Restrike Test เป็นการทดสอบที่ได้หลังการตอกเสาเข็มไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อประเมินถึงกำลังรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็มช่วงเวลาที่ใช้งาน โดยปกติกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มจะเพิ่มขึ้นตาม Soil set-up หรือ ระยะเวลาหลังการตอกเข็ม ระยะเวลาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับลักษณะและคุณสมบัติของดิน

           

                
 

Bi-Direction Test
 
Bi-Direction Test เป็นการทดสอบ Static Load Test ประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องอาศัยระบบแรงปฏิกิริยาภายนอก แต่อาศัยแรงเสียดทานผิวและแรงต้านปลายเสาเข็ม เป็นแรงปฏิกิริยา โดยติดตั้งแม่แรงไฮดรอลิกไว้ในเสาเข็มโดยตรงในตำแหน่งที่กำหนด การควบคุมแม่แรงไฮดรอลิก กระทำผ่านท่อเหล็กที่เชื่อมต่อขึ้นมาตามแนวแกนเสาเข็มจนถึงระดับเหนือพื้นดิน นอกจากนี้ท่อเหล็กดังกล่าวยังใช้ติดตั้ง Tell-Tale เพื่อวัดการเคลื่อนตัวของด้านล่างของแม่แรงไฮดรอลิกในขณะที่การเคลื่อนที่ของหัวเสาเข็มสามารถตรวจวัดได้ด้วยอุปกรณ์วัด (Dial Gauge) เช่นเดียวกับการทดสอบ Static Load Test ทั่วไป  มีมาตรฐานรองรับคือ ASTM D8169 เมื่อเริ่มการทดสอบแม่แรงไฮดรอลิกจะถูกเพิ่มแรงดันอย่างต่อเนื่องไปที่น้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่กำหนดไว้ หรือ เป็นขั้นตอนเช่นเดียวกับขั้นตอนการทดสอบ Static Load Test เมื่อเพิ่มแรงดันให้แก่แม่แรงไฮดรอลิก จะเกิดแรงดันขึ้นกระทำต่อเสาเข็มเท่ากับแรงดันลงที่กระทำต่อกับฐานรากปลายเสาเข็ม (End Bearing) ซึ่งจะมีผลทำให้เสาเข็มยกตัวลอยขึ้นในขณะที่ดินฐานรากใต้เสาเข็ม ถูกกดให้ต่ำลงซึ่งการเคลื่อนที่ทั้ง 2 นี้จะถูกวัดอย่างละเอียดด้วย Dial Gauge ที่หัวเสาเข็ม และ Tell-Tale ตามลำดับ

         

          

3. การตรวจสอบความลาดเอียงหลุมเจาะ (Drill Hole Monitoring Test)

ในการก่อสร้างโดยทั่วๆ ไปงานฐานรากเป็นงานที่สำคัญมากที่สุดงานหนึ่ง เพราะฐานรากต้องเป็นตัวรับน้ำหนักอาคารทั้งอาคาร การที่มีฐานรากแข็งแรงก็จะทำให้อาคารนี้มีความมั่นคงแข็งแรงไปด้วย สำหรับอาคารขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้ฐานรากที่นิยมใช้กันมากก็คือ ฐานรากเสาเข็มเจาะ ดังนั้นความสมบูรณ์ของเสาเข็มเจาะจึงเป็นสิ่งที่ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ การควบคุมคุณภาพของหลุมเจาะเพื่อให้ได้เข็มเจาะออกมามีคุณภาพ สามารถรับน้ำหนักได้ตามที่ออกแบบไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็น วิธีตรวจสอบสภาพความสมบูรณ์ของผนังหลุมเจาะ ว่ามีการเบี่ยงเบนออกจากแนวศูนย์กลาง มีการพังทลายของหลุมเจาะหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Drill Hole Monitoring ก่อนการเทคอนกรีต อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบเป็นเครื่องทดสอบ Drilling Monitor รุ่น DM-604, DM-604R หรือ DM-604RR ซึ่งถูกออกแบบและพัฒนาโดย บริษัท KODEN จำกัด จากญี่ปุ่น ซึ่งมีประสบการณ์โดยตรงด้านอีเลคทรอนิคและคลื่นอุลตร้าโซนิค ผลการทดสอบจะถูกพิมพ์ลงบนกระดาษความร้อน (Thermal Printing Paper) ในรูปของกราฟรูปตัดของผนังเสาเข็ม (Shaft Profile) ทั้ง 2 แกน ตั้งฉากกันในเวลาเดียวกัน

         

            
 

4. การทดสอบประเมินความยาวของเสาเข็มหรือโครงสร้างใต้ดิน (Parallel Seismic Test)

การทดสอบแบบ Parallel Seismic เป็นวิธีการทดสอบเพื่อประเมินหาความยาวและความสมบูรณ์ของเสาเข็ม โดยการตรวจวัดค่าเวลา (Transit time) ที่คลื่นความเค้น (Stress Wave) ใช้ในการเคลื่อนที่ จากตำแหน่งกำเนิดวิ่งผ่านเข้าไปในโครงสร้างเสาเข็มทดสอบและส่งผ่านไปยังหัวรับสัญญาณที่อยู่ในท่อ PVC ซึ่งติดตั้งไว้ขนานกับเสาเข็มทดสอบตามแนวยาว ช่วงเวลาที่คลื่นความเค้นเคลื่อนที่ในเสาเข็มจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความยาวของเสาเข็มทดสอบ โดยในการตรวจวัดจะทำการตรวจวัดเวลาที่คลื่นใช้ในการเคลื่อนที่ที่ระดับความลึกต่างๆ ของตัวรับสัญญาณ ซึ่งจะสามารถหาความต่อเนื่องของเนื้อคอนกรีตที่ระดับความลึกต่างๆได้ ในกรณีที่หัววัดคลื่นสัญญาณอยู่ในตำแหน่งเคลื่อนที่จากปลายเสาเข็มขึ้นมาและไม่ปรากฏว่าเสาเข็มมีความเสียหายขนาดรุนแรงระยะเวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ไปยังตัวรับสัญญาณจะมีค่าแปรเปลี่ยนตามไปด้วย